ภาคการผลิตเป็น 1 ใน 5 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกและใช้พลังงาน 54% ของโลก ทุกอุตสาหกรรมมีส่วนในการปล่อยก๊าซ CO2 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องมือตัดแต่งขึ้นรูปโลหะและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่าสิ่งนี้ก่อมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิตที่ควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนของตนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายทั้งปัจจุบันและคาดการณ์ไปถึงแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติตามข้อบังคับเท่านั้น แต่ยังเป็นการรับรองความยั่งยืนของอุตสาหกรรมและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ความท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตในการนำเอานวัตกรรมและวิธีการสร้างอุตสาหกรรมสีเขียวแบบใหม่ ที่ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเสริมสร้างประสิทธิภาพและการแข่งขันได้ดีขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม มีความจำเป็นที่สุดสำหรับบริษัทผู้ผลิตในการแก้ไขปัญหาการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างเร่งด่วน
เรากำลังพูดถึงความท้าทายที่พบบ่อยในการจัดการคาร์บอนในอุตสาหกรรมการผลิต พร้อมกับกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องในการลดคาร์บอน และเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของผู้ผลิต

 ความท้าทายในการจัดการคาร์บอนที่พบบ่อยในอุตสาหกรรมการผลิต

การจัดการคาร์บอนเริ่มต้นด้วยการคำนวณคาร์บอน เนื่องจากตามคำกล่าวที่ว่า ”คุณไม่สามารถจัดการสิ่งที่คุณไม่สามารถประเมินได้” อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัญหาการจัดการคาร์บอนที่พบบ่อยที่สุด คือ การคำนวณการปล่อยออกมาอย่างละเอียดถูกต้อง ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและการผลิตเป็นตัวแปลที่สำคัญของการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีส่วนร่วมอยู่ที่ 16% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในระดับโลก กิจกรรมเหล่านี้ยังเสนอความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่ต้องจัดการร่วมกัน

ผู้ผลิตมักมีห่วงโซ่มูลค่าที่ซับซ้อน พวกเขามีซัพพลายเออร์กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตเกิดความยุ่งยากและมีข้อจำกัดในการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นในการประเมิณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่อาจสร้างความเสียหาย 

ข้อมูลการปล่อยก๊าซที่พวกเขาให้มาอาจมีคุณภาพไม่ดีเพียงพอต่อการติดตามข้อมูลใดๆ ทั้งนั้น สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดความยากลำบากให้กับผู้ผลิตในการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นในการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซในห่วงโซ่ค่าความเสียหายของพวกเขา หากมีการนำข้อมูลการผลิตไปใช้ที่ไหน ข้อมูลที่ต้องเก็บเพื่อคำนวณการปล่อยก๊าซก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้น เนื่องจากสินค้าหลายชนิดที่แตกต่างกันอาจถูกผลิตสำหรับลูกค้าต่าง ๆ ที่โรงงานเดียวกัน ผลกระทบจากการคำนวณการปล่อยก๊าซที่ไม่มีประสิทธิภาพสามารถมีผลกระทบไปไกลถึงการดำเนินงานของบริษัท

หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมสำคัญที่สุดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนคืออุตสาหกรรมการผลิต เนื่องจากกระบวนการที่ใช้พลังงานมากของอุตสาหกรรมนี้ มีปริมาณเกือบหนึ่งในสี่ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยตรง ซึ่งมีข้อมูลจากหน่วยงานการป้องกันสิ่งแวดล้อม (EPA) บัญญัติว่า จำนวนการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยตรงมีอยู่ในร้อยละยี่สิบสามของทั้งหมด

กลยุทธ์สำคัญสำหรับการลดคาร์บอน

3 กลยุทธ์สำคัญที่โดดเด่นในภารกิจลดคาร์บอนในภาคการผลิต ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การจัดหาวัสดุที่ยั่งยืน และการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ แต่ละแนวทางนี้เสนอโอกาสในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีส่วนช่วยในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก

1. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตเป็นหนึ่งในวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน สามารถทำได้โดยการอัปเกรดเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงขึ้น การนำระบบอัจฉริยะมาใช้เพื่อการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น และการปรับกระบวนการผลิตให้เหมาะสมเพื่อลดของเสียและการใช้พลังงาน การดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การประหยัดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว ทำให้ผู้ผลิตและสิ่งแวดล้อมได้รับประโยชน์ร่วมกัน

2. วัสดุและการจัดซื้อที่ยั่งยืน 

การใช้วัสดุที่ยั่งยืนในการกระบวนการผลิตสามารถช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ได้ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพและไม่เป็นพิษ ไปจนถึงการนำทรัพยากรรีไซเคิลมาใช้ในการผลิต นอกจากนี้ วัสดุที่ยั่งยืนยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยการลดความต้องการใช้วัตถุดิบใหม่และขยะ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในการใช้วัสดุที่ยั่งยืนในกระบวนการผลิต เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่อาจได้รับจากการนำแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้

3. หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน

สุดท้าย การนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้สามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างลึกซึ้ง ผู้ผลิตอาจใช้รูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อลดขยะและเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้สูงสุด กลยุทธ์นี้อาจรวมถึงการนำวัสดุและผลิตภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่ การรีไซเคิลของเสีย และการกู้คืนพลังงานจากของเสีย โดยการยอมรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน บริษัทสามารถลดผลกระทบของคาร์บอนลงได้

 การออกแบบเพื่อการถอดประกอบและนำกลับมาใช้ใหม่

การออกแบบเพื่อการถอดประกอบและนำกลับมาใช้ใหม่เป็นวิธีสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนในการผลิต กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการออกแบบสินค้าที่สามารถถอดประกอบได้ง่ายเมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งาน ทำให้สามารถนำส่วนประกอบและวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ใหม่หรือใช้ประโยชน์ใหม่ได้ การเลือกการออกแบบเช่นนี้ช่วยให้การซ่อมแซม ปรับปรุงใหม่ และการรีไซเคิลเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยลดขยะและความต้องการวัสดุใหม่ๆ อย่างมาก และส่งผลให้ลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตลงได้

นำระบบการบริหารจัดการขยะและการรีไซเคิลที่มั่นคงมาใช้

ในการทำลดปริมาณขยะที่เข้าไปในบริเวณทิ้งขยะ สามารถทำได้โดยการนำระบบการรีไซเคิลที่ทันสมัยมาใช้ ซึ่งประกอบด้วยการจัดทำโปรแกรมการรีไซเคิลอย่างละเอียด สร้างทีมงานสีเขียวเพื่อดำเนินการตรวจสอบปริมาณขยะประจำปี รีไซเคิลอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การเป็นบริษัทที่ไม่ใช้กระดาษ และห้ามขวดพลาสติก นอกจากนี้ยังสามารถส่งเสริมการทานอาหารแบบไม่มีขยะรวมถึงการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อให้แน่ใจว่าบรรจุภัณฑ์ที่ใช้มาจากวัสดุที่รีไซเคิลได้

พัฒนาระบบการผลิตแบบหมุนเวียน

ในระบบแบบหมุนเวียน เศษขยะจากกระบวนการผลิตถูกเก็บรวบรวม รีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อผลิตสินค้าใหม่ วิธีการนี้ช่วยลดปริมาณขยะและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร นำไปสู่การลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ ระบบแบบหมุนเวียนเป็นตัวอย่างของเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ดำเนินการอย่างยั่งยืน แสดงให้เห็นว่าหากผู้ผลิตดำเนินการตามหลักการดังกล่าวแล้ว จะยังสามารถตอบสนองต่อความต้องการของเศรษฐกิจโลกได้อีกด้วย

การปรับปรุงการดำเนินงานและระบบ

การปรับปรุงการดำเนินงานและระบบเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องมือตัดแต่งขึ้นรูปโลหะและอุตสาหกรรมยานยนต์ บริษัทสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น โดยการปรับปรุงกระบวนการผลิต การใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม และการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการผลิตแบบลีน  ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของระบบ เช่น การใช้งานแหล่งพลังงานทดแทน กริดสมาร์ท และการผลิตอัตโนมัติช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการผลิตที่ยั่งยืนมากขึ้น การปรับปรุงเหล่านี้ช่วยในการสนับสนุนกิจกรรมลดคาร์บอน ผลลัพธ์ คือ การประหยัดต้นทุนและการแข่งขันในตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

การลดการปล่อยก๊าชคาร์บอนในการผลิตด้วยเทคโนโลยีของ Sumipol

การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในกระบวนการผลิตเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องตระหนัก เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มความยั่งยืนให้กับธุรกิจ หนึ่งในเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนคือ Internet of Things (IoT) ที่สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์กระบวนการผลิตและรวบรวมข้อมูลสำคัญเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย บริการ IOT AUTOMATION SOLUTION และการปรับปรุงไลน์การผลิตจาก สุมิพล ที่พร้อมให้คำปรึกษาในงานออโตเมชั่น อุปกรณ์ IoT หรือ IoT Architecture สำหรับการทำงานในโรงงาน หรือเปลี่ยนโรงงานให้กลายเป็น Smart Factory IoT รวมไปถึงการวินิจฉัยไลน์การผลิตจากหน้างานจริง เพื่อพัฒนาวางแผนปรับปรุงกระบวนการผลิตเดิมของลูกค้า และแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับการผลิต เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลที่สำคัญ และแสดงผลข้อมูลที่รวดเร็ว พัฒนาระบบการแสดงผลข้อมูลจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ในสายการผลิต ให้รู้สถานะและประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ให้สามารถครอบคลุมการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้พร้อมให้บริการอย่างเต็มที่

สรุป

สุดท้ายนี้ ผู้ผลิตมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การนำวิธีการที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ถือเป็นความรับผิดชอบทางศีลธรรมและเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่ดีในโลกปัจจุบัน ผู้ผลิตสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมากด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย โดยใช้กลยุทธ์หลักในการลดคาร์บอนด้วยวัสดุที่ยั่งยืนและกระบวนการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ สุดท้ายนี้ ความสำเร็จของโครงการริเริ่มเหล่านี้จำเป็นต้องมีกลยุทธ์การทำงานร่วมกัน รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต รัฐบาล ผู้บริโภค และนักลงทุน ที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป

ขอบคุณข้อมูลจาก : How manufacturers can reduce carbon emissions