การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการของสินค้าและบริการในอุตสาหกรรม ยังคงมีการแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการผลิตไปจนถึงเกิดความพึงพอใจสูงสุด หลายองค์กรจึงหันมาปรับตัวและนำทฤษฎีการบริหารแนวใหม่ มาปรับใช้ในการบริหารจัดการอย่าง  Supply Chain Management (SCM) และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า พัฒนาระบบและรูปแบบในการดำเนินงานและการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

Supply chain  Management (SCM) คืออะไร?

Supply Chain Management (SCM) คือ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน หรือ การจัดการกระบวนการของสินค้าและบริการองค์รวม โดยรวมถึงกระบวนการทั้งหมดที่เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย เกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรมด้านอุปทานของธุรกิจให้เป็นไปอย่างราบรื่นเพื่อเพิ่มมูลค่าสูงสุดให้กับสินค้า และเพิ่มความได้เปรียบการแข่งขันในตลาด โดยกระบวนการนี้จะเริ่มตั้งแต่ก่อนผลิตสินค้าจนกระทั่งนำสินค้าไปสู่ผู้บริโภค เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด กระบวนการดังกล่าวมีดังนี้

  1. กระบวนการจัดซื้อ (Procurement) 
  2. กระบวนการผลิต (Manufacturing) 
  3. กระบวนการจัดเก็บ (Storage) 
  4. เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) 
  5. การจัดจำหน่าย (Distribution) 
  6. การขนส่ง (Transportation) ให้ถึงมือผู้บริโภค 

โดยทั้งหมดจะเชื่อมโยงกันด้วยข้อมูลและการสื่อสารภายในองค์กร

องค์ประกอบของ การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management)

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM)  ให้สามารถดำเนินการประสานกันได้อย่างคล่องตัวประกอบด้วย 3 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นก็คือ

  1. Upstream Supply Chain คือ ห่วงโซ่อุปทานที่เข้าสู่กระบวนการของผู้ผลิต ประกอบด้วยกระบวนการที่เกี่ยวกับการจัดหาวัตถุดิบเพื่อส่งต่อไปยังผู้ผลิต โดยมีผู้เกี่ยวข้องหลัก คือ ซัพพลายเออร์ (Supplier) ในการจัดซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน 
  2. Internal Supply Chain คือ ห่วงโซ่อุปทานภายในของกระบวนการผลิต ประกอบด้วยกระบวนการที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนปัจจัยการผลิต (Input) ให้เป็นผลิตภัณฑ์และบริการ (Output) โดยมีผู้เกี่ยวข้องหลัก คือผู้ผลิต (Manufacturer) 
  3.  Downstream Supply Chain คือ ห่วงโซ่อุปทานที่เข้าสู่กระบวนการของลูกค้าประกอบด้วยกระบวนการที่เกี่ยวกับการจัดส่งหรือขนส่งสินค้าไปสู่มือผู้บริโภคที่เป็นปลายทางสุดท้าย

ซึ่งในระบบที่กล่าวข้างต้นนี้ เกิดการไหลเวียนในกระบวนการของธุรกิจ ประกอบด้วย 4 ระบบหลักที่สำคัญ ดังนี้

วัตถุดิบ (Raw Material) จาก Suppliers ผ่านกระบวนการผลิตต่างๆ จนอาจกลายเป็นวัตถุดิบใหม่หรือสินค้าและบริการ ส่งถึงมือลูกค้า ซึ่งจะเป็นลักษณะของการไหลของผลิตภัณฑ์ (Product Flow)

ชิ้นส่วนต่าง ๆ ไหลเวียนกลับไปยัง Supplier เช่น การนำส่วนประกอบบางอย่างกลับมาใช้ใหม่ (Reverse Product Flow) เป็นต้น

เงิน (Cash) กระบวนการไหลจากลูกค้าผ่านกระบวนการต่างๆ โดยเงินบางส่วนถูกหักไว้เป็นค่าดำเนินการของบริษัท จนถึง Supplier ซึ่งเรียกว่า Cash Flow

– สารสนเทศ (Information) จะกระจายอยู่ในทุก ๆ กระบวนการ ทั้งนี้ระบบสารสนเทศมีส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถมองเห็น (Visibility) ภาพรวมของระบบได้ทั้งหมดซึ่งจะเรียกว่า Information Flow

การทำงานของ Supply Chain Management (SCM) 

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) แสดงถึงความพยายามของซัพพลายเออร์ในการพัฒนาและดำเนินการห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพและประหยัดที่สุด ห่วงโซ่อุปทานครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงถึงระบบข้อมูลที่จำเป็นในการดำเนินการ โดยปกติ SCM จะพยายามควบคุมหรือเชื่อมโยงการผลิต การจัดส่ง และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากส่วนกลาง ด้วยการจัดการห่วงโซ่อุปทาน บริษัทต่าง ๆ สามารถลดต้นทุนส่วนเกินและส่งมอบผลิตภัณฑ์ไปยังผู้บริโภคได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการควบคุมสินค้าคงคลังภายใน การผลิตภายใน การจัดจำหน่าย การขาย และสินค้าคงคลังของผู้ขายของบริษัทให้เข้มงวดยิ่งขึ้น

SCM มีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่า ผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดเกือบทั้งหมดเป็นผลมาจากความพยายามขององค์กรต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นห่วงโซ่อุปทาน แม้ว่าห่วงโซ่อุปทานจะมีมานานแล้ว แต่บริษัทส่วนใหญ่เพิ่งให้ความสนใจกับห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับการดำเนินงาน

5 กระบวนการที่สำคัญเกี่ยวกับ Supply Chain Management

การจัดการห่วงโซ่อุปทานครอบคลุมกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างสำเร็จ กระบวนการทั้งหมดเล่านี้เชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้นการประสานงานระหว่างการดำเนินงานจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และคุณสามารถลดต้นทุนการผลิตและการจัดส่งเพื่อให้องค์กรและลูกค้าของคุณได้รับประโยชน์มากขึ้น ประกอบด้วย 5 กระบวนการต่อไปนี้

  • การวางแผน (Planning)

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจาก SCM กระบวนการมักจะเริ่มต้นด้วยการวางแผนเพื่อให้ตรงกับอุปทานของลูกค้าและความต้องการในการผลิต บริษัทต้องคาดการณ์ความต้องการในอนาคตของพวกเขา (Forecast) และดำเนินการตามนั้น สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบที่จำเป็นในแต่ละขั้นตอนของการผลิต ความสามารถในการผลิตอุปกรณ์ (Capacity)และข้อจำกัดต่าง ๆ และความต้องการพนักงานตามกระบวนการ SCM หน่วยงานขนาดใหญ่มักใช้โมดูลระบบ ERP เพื่อประมวลผลข้อมูลและรวบรวมแผน

  • การจัดหา (Sourcing)

กระบวนการ SCM ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับซัพพลายเออร์เป็นอย่างมาก การจัดหาเกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกับผู้ขายเพื่อจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็นตลอดกระบวนการผลิต บริษัทอาจสามารถวางแผนและทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อจัดหาสินค้าล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมต่างๆ จะมีข้อกำหนดในการจัดหาที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป การจัดหา SCM รวมถึงการสร้างความมั่นใจว่า:

  • วัตถุดิบที่นำมาใช้ผลิตตรงตามข้อกำหนดในการผลิตสินค้า
  • ราคาที่จ่ายสำหรับสินค้านั้นเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้
  • ผู้ขาย (vendor) มีความยืดหยุ่นในการส่งมอบวัตถุดิบฉุกเฉินเนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
  • ผู้ขาย (vendor) มีบันทึกการซื้อขาย ส่งมอบสินค้าตรงตามเวลาและมีคุณภาพดี

การจัดการห่วงโซ่อุปทานมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อผู้ผลิตทำงานกับสินค้าที่เน่าเสียง่าย

ในการจัดหาสินค้า เพราะต้องคำนึงถึงระยะเวลารอคอยสินค้าและการจัดเก็บ รวมถึงซัพพลายเออร์สามารถปฏิบัติตามความต้องการเหล่านั้นได้ดีเพียงใด

  • การผลิต (Manufacturing)

กระบวนการผลิต เป็นสิ่งสำคัญในทุกธุรกิจ กระบวนการผลิตนั้นซับซ้อนมากสำหรับทุกบริษัทเนื่องจากเป็นขั้นตอนการทำงานที่ประกอบด้วยหลายหน่วยงาน ซึ่งกระบวนการผลิตที่ไม่สามารถดำเนินการได้เสร็จสิ้น จะเพิ่มต้นทุนการผลิตและเสียเวลาในการทำงานของหน่วยงานอื่น ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ ซอฟต์แวร์ ในการตรวจสอบ เพื่อให้กิจกรรมการผลิตเหมาะสมและรวดเร็วที่สุด

กระบวนการผลิตอาจแบ่งออกเป็นส่วนย่อยเพิ่มเติม เช่น การประกอบ การทดสอบ การตรวจสอบ หรือการบรรจุหีบห่อในระหว่างกระบวนการผลิต บริษัทต้องคำนึงถึงของเสียและปัจจัยอื่น ๆ ที่ควบคุมได้ ซึ่งอาจทำให้ระยะเวลาหรือวัตถุดิบในการผลิตเกิดการเบี่ยงเบนไปจากแผนเดิมได้

ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทใช้วัตถุดิบมากกว่าที่วางแผนไว้และพนักงานขาดทักษะจากการฝึกอบรม บริษัทจะต้องแก้ไขปัญหาหรือทบทวนขั้นตอนก่อนหน้าใน SCM

  • การจัดส่ง (Delivering and logistics)

การส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับธุรกิจ เรื่องของภาพลักษณ์ของแบรนด์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ  เพราะอาจมีความเสี่ยงในเรื่องของความคาดหวังของลูกค้าได้ โดยทางผู้ประกอบการเองต้องมีกระบวนการจัดการที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือได้ สามารถตรวจสอบการส่งมอบสินค้า เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังเป็นส่วนที่สำคัญที่ช่วยในการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการขนส่งของระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) ได้ เช่น การใช้ซอฟต์แวร์ SCM ในการวางกลยุทธ์และวิธีการจัดส่งสินค้า การหาเส้นทางที่เหมาะสมกับสินค้าและบริการ เป็นต้น

  • ระบบคืนสินค้า (Returning)

กระบวนการจัดการซัพพลายเชนจะสิ้นสุดลงได้ก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบสินค้าหรือการคืนสินค้าที่ไม่ได้ตามข้อตกลง หรือเกิดความเสียหาย กระบวนการส่งคืน (Returning) นี้มักเรียกว่าการขนส่งแบบย้อนกลับ และบริษัทต้องมั่นใจว่ามีความสามารถในการรับสินค้าที่ส่งคืนและกำหนดเงินคืนสำหรับการส่งคืนที่ได้รับอย่างถูกต้อง ไม่ว่าบริษัทจะดำเนินการเรียกคืนผลิตภัณฑ์หรือลูกค้าไม่พอใจกับผลิตภัณฑ์ ธุรกรรมกับลูกค้าจะต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจสรุปได้ง่าย ๆ ว่าการส่งคืนสินค้าเป็นกระบวนการสนับสนุนให้บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

ที่มา : https://www.investopedia.com/terms/s/scm.asp

Supply Chain Management สำคัญอย่างไรต่ออุตสาหกรรม

ในกระบวนการจัดการการผลิตเพื่อทำให้เกิดสินค้าและบริการขึ้นมา จำเป็นต้องมีการวางระบบที่สามารถทำงานประสานกันได้ โดยมีจุดเป้าหมายหลักในการสร้างความพึงพอใจ นับตั้งแต่การนำเข้าวัตถุดิบสู่กระบวนการผลิต กระบวนการสั่งซื้อ จนกระทั่งส่งสินค้าถึงมือลูกค้า ให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกับการสร้างระบบการส่งต่อข้อมูลในกระบวนการทำงานของแต่ละหน่วยงานส่งผ่านไปทั่วทั้งองค์กร รวมไปถึงลูกค้าและผู้จัดส่งวัตถุดิบด้วย

เราสามารถสรุปเหตุผลที่สำคัญที่สุด 6 ประการสำหรับการจัดการซัพพลายเชนได้ ดังนี้

  1. ตอบสนองตรงตามความต้องการของลูกค้า
  2. ลดค่าใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ
  3. ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กร
  4. ติดตามกระบวนการทำงานได้อย่างใกล้ชิด
  5. สามารถบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  6. ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่า

การจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management) มีความสำคัญในองค์กร SCM ที่ดี ต้องสามารถดำเนินการตั้งแต่การจัดการวัตถุดิบไปจนถึงการผลิตสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ต้องควบคู่ไปกับการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอีกด้วย 

บริการด้าน AUTOMATION SOLUTION และการปรับปรุงไลน์การผลิตจากสุมิพล

“สุมิพล คอร์ปอเรชั่น ” บริษัทชั้นนำผู้จัดจำหน่ายเครื่องมืออุปกรณ์มาตรฐาน และเครื่องจักรกลคุณภาพสูง ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์จากผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก ที่ครอบคลุมงานทุกด้านในการผลิต ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากกว่า 10,000 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรมการผลิตของไทยมายาวนานกว่า 30 ปี  

พร้อมให้คำปรึกษาด้าน System Integrator (SI) บริการออกแบบระบบอัตโนมัติ และเชื่อมต่อการทำงานของเครื่องจักรกลและหุ่นยนต์ เข้ากับระบบควบคุมการผลิต พัฒนาปรับปรุงเพิ่มศักยภาพกระบวนการผลิตเดิมของท่าน ให้ครอบคลุมการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและครบวงจรในยุคอุตสาหกรรม 4.0 

มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต เสริมสร้างระบบคุณภาพ และพัฒนาสู่เทคโนโลยีอัจฉริยะ ด้วยบริการด้าน Smart Factory ระบบ IoT Automation เชื่อมต่อข้อมูลการผลิตด้วยอุปกรณ์อัตโนมัติที่ทันสมัย

Line Diagnosis

รวมไปถึงการวินิจฉัยไลน์การผลิตจากหน้างานจริง เพื่อพัฒนาวางแผนปรับปรุง และแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับการผลิต ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้พร้อมให้บริการอย่างเต็มที่

สนใจเกี่ยวกับข้อมูลของสินค้าหรือบริการเพิ่มเติม

สามารถพูดคุย วิเคราะห์ปัญหาเบื้องต้นกับผู้เชี่ยวชาญของสุมิพลได้โดยตรง

สามารถติดต่อได้ ที่นี่ หรือ Call Center 02-7623000